“อาเซียน” (Association Of South-east Asian Nation) หรือตามศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า “สมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” คำๆนี้ถือได้ว่าเป็นคำที่คุ้นหูคนไทยอยู่ในขณะนี้ กล่าวคือในปี 2558 ประเทศไทยและประเทศสมาชิกอีก 9 ประเทศจะเข้ารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยมีความร่วมมือกันในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งผลกระทบประการหนึงของการรวมเป็นประชาคมอาเซี่ยน คือ การเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรีภายในกลุ่มประเทศสมาชิก
เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวเยาวชนไทยให้มีความพร้อมต่อการแข่งขัน ได้แก่ เรื่องของแรงงานที่มีคุณภาพเพียงพอต่อการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในตลาดของภูมิภาค จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการตามวัตถุประสงค์ของประชามคมอาเซียน
ตารางคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พ.ศ. 2555
ผู้เข้าสอบ
|
วิชา
|
คะแนนสูงสุด
|
คะแนนต่ำสุด
|
คะแนนเฉลี่ย
|
ภาษาไทย
|
391,662
|
96.00
|
0.00
|
47.19
|
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
|
392,914
|
88.13
|
1.25
|
36.27
|
ภาษาอังกฤษ
|
392,468
|
98.00
|
0.00
|
22.13
|
คณิตศาสตร์
|
392,818
|
100.00
|
0.00
|
22.73
|
วิทยศาสตร์
|
391.524
|
93.22
|
0.00
|
33.10
|
จากตารางผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เยาวชนไทยมีความรู้และความเข้าใจในรายวิชาห้าวิชาหลักอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ต่ำกว่าค่าคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ วิชาภาษาไทย วิชาสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร์ และวิชาวิทยาศาสตร์ตามลำดับ ซึ่งในฐานะที่ผู้เขียนจะสำเร็จการศึกษาออกไปเป็นนักการศึกษาของประเทศชาติก็อดกังวลไม่ได้ว่าสาเหตุใดที่เยาวชนรุ่นใหม่ เยาวชนที่อยู่ในยุคแห่งการศึกษาไร้พรมแดนยังเป็นเช่นนี้ และหากว่าปัญหาเหล่านี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ลองคิดดูสิว่าเยาวชนไทยจะมีศักยภาพเพียงพอต่อการตอบสนองในตลาดแรงงานของประชาคมอาเซียนได้หรือไม่
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2551 พบว่าเยาวชนไทยมีพฤติกรรมการอ่านหนังสือในระยะเวลาหนึ่งปีเฉลี่ยเพียง 5 เล่ม ประเทศเวียดนาม 60 เล่ม ประเทศสิงคโปร์ 45 เล่ม และประเทศมาเลเซีย 40 เล่ม
จากพฤติกรรมการอ่านหนังสือของเยาวชนไทยที่อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำนี้เอง จึงอาจจะส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานนี้ด้วย หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่เยาวชนส่วนใหญ่มีคุณภาพ เช่น ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย หรือแม้แต่ประเทศเวียดนามที่มีแนวโน้มการพัฒนาประเทศอยู่ในขั้นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ก็จะเห็นได้ว่าอัตราการอ่านหนังสือของเยาวชนอยู่ในอัตราค่อนข้างสูง
การอ่านเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์ของมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าความสำเร็จของเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่าน เพราะฉะนั้นการอ่านจึงเป็นเครื่องมือที่มีราคาถูกมากที่สุดในการช่วยพัฒนาให้เยาวชนไทยมีความรู้ มีความสามารถที่กว้างขวางทัดเทียมกับประเทศในประชาคมอาเซียนที่ดีวิธีหนึ่ง ละถ้าหากมีทักษะการอ่านที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมแล้วก็จะส่งผลต่อทักษะการเขียนต่อไป ซึ่งทักษะการเขียนถือว่าเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นเวลานานต้องใช้ทักษะการอ่านและการฟังเป็นองค์ประกอบจึงจะประสบผลสำเร็จด้านทักษะการเขียน (สุทธิพงษ์ พงษ์ไพบูลย์. 2531)
ดังนั้นหากเยาวชนไทยมีการเตรียมพร้อมในทักษะพื้นฐานการอ่าน การฟัง และการเขียนที่มีคุณภาพ ผู้เขียนเชื่อว่าเยาวชนไทยจะสามารถต่อยอดของการพัฒนาด้านอื่นๆได้ง่าย และทันต่อการปรับเปลี่ยนสภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในอีกสองปีข้างหน้าได้ต่อไป
อย่างไรก็ตามการพัฒนาทักษะของเยาวชนไทยจะยั่งยืนได้นั้นก็จำเป็นต้องอาศัยภาครัฐบาลที่จะเป็นแรงผลักดันให้นโยบายเป็นรูปธรรม ไม่ฉาบฉวย ดังตัวอย่างเช่น นโยบายการรักการอ่านไม่ควรมีแค่ระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผลอาจเป็นเพียงแค่คะแนนเก็บในรายวิชาภาษาไทยเท่านั้น โดยภาครัฐบาลอาจมีนโยบายจัดทำเป็นหลักสูตรทักษะพื้นฐานการอ่าน การฟัง การเขียน และใช้สื่อเทคโนโลยีมาช่วยเสริมความน่าสนใจของบทเรียน เช่น จัดทำเป็นสื่อผสมมัลติมีเดีย จัดทำมุมหนังสือความรู้ในห้องเรียน หรือบริเวณชุมชนในท้องถิ่นต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนั้นภาครัฐบาลยังควรส่งเสริมการจัดทำหนังสือให้มีความเหมาะสมกับวัยของผู้อ่านให้มากขึ้น กล่าวคือจากการคัดเลือกหนังสือในโครงการหนึ่งร้อยหนังสือดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยของรองศาสตราจารย์วิทยากร เชียงกูล พบว่าภาพรวมของสังคมไทยยังถือว่ามีการพัฒนาหนังสือสำหรับเด็กเล็กค่อนข้างน้อย ประเด็นสำคัญ คือ หากเราสามารถดึงดูดเด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไปให้รู้จักรักการอ่าน อนาคตของเยาวชนไทยก็จะมีศักยภาพไม่น้อยหน้าประเทศอื่นที่มีทรัพยากรเยาวชนที่มีคุณภาพได้อย่างแน่นอน
หากภาครัฐบาลยังปรารถนาให้ประเทศไทย และเยาวชนไทยมีบทบาทสำคัญในเวทีประชาคมอาเซียน ภาครัฐบาลก็ควรปรับเปลี่ยนระบบการเรียนรู้ของเยาวชนไทยเสียใหม่ คือ ควรให้มีนโยบายส่งเสริมระบบการเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยมีความร่วมมือกันระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครอง เพื่อต้องการให้ระบบการเรียนรู้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน หากผู้ปกครองซึ่งมีความใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุดมีความเข้าใจสอดคล้องกับทางสถานศึกษาดีแล้วก็จะส่งผลให้การพัฒนาองค์ความรู้ของเด็กในระดับสูงมีความง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นภาครัฐบาล และนักการศึกษาที่เกี่ยวข้องควรที่จะใส่ใจในนโยบายการศึกษาที่จะช่วยพัฒนาเยาวชนไทยให้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน ไม่เป็นนโยบายที่เป็นเศษกระดาษ คือ ไม่สามารถนำนโยบายก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้